fbpx

10 ข้อควรรู้ถ้าอยากใช้ CPAP

10 ข้อควรรู้ถ้าอยากใช้ CPAP

ย่อมาจาก Continuous Positive Airway Pressure เป็นเครื่องช่วยหายใจชนิดหนึ่งที่ใช้รักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) โดยการเป่าลมผ่านท่อและหน้ากากเข้าสู่ทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันไม่ให้ทางเดินหายใจตีบตันในระหว่างการนอน เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการสั่งจ่ายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การใช้งานที่ถูกต้องและปลอดภัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้จะกล่าวถึง 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ CPAP สำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแล

 

CPAP เหมาะสำหรับใคร?

เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับรุนแรง ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจตีบตันหรือปิดกั้นระหว่างการนอน ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพโดยรวม กรณีตรวจพบว่ามีอาการนอนกรนแบบอันตราย (จากการตรวจคุณภาพการนอน : Sleep Test ) คือ มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ และมีค่าดัชนีการหยุดหายใจขณะหลับ (AHI : Apnea Hypopnea Index  ) > 5 ครั้งต่อชั่วโมง แพทย์จะแนะนำให้ใช้เครื่อง CPAP เพื่อการรักษา

สาเหตุสำคัญของการนอนกรนคือ การที่ทางเดินหายใจตีบแคบลงขณะนอนหลับ จากปัจจัยต่างๆ เช่น กล้านเนื้อโคนลิ้นหย่อนตัว คอสั้น เนื้อเยื่อและไขมันบริเวณคอหนา เกิดลมผ่านช่องทางแคบจึงเกิดการสั่นกระพือของกล้ามเนื้อและเกิดเสียงกรนดังขึ้น กรณีที่รุนแรง อาจจะหย่อนตัวจนกระทั่งทางเดินหายใจปิดสนิท และเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้ เครื่อง CPAP จะช่วยถ่างขยายช่องทางเดินหายใจ ให้กว้างออก ซึ่งเป็นการแก้ไขที่สาเหตุโดยตรงของการนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับได้อย่างตรงจุด


แม้ CPAP จะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ป่วย Sleep Apnea กลับมานอนหลับได้อย่างมีคุณภาพ แต่การใช้ CPAP ในระยะแรกอาจสร้างความรู้สึกอึดอัดและไม่คุ้นชินได้ ดังนั้น บทความนี้จึงรวบรวม 10 ข้อควรรู้ สำหรับผู้ที่อยากใช้ CPAP เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและใช้ CPAP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Sleep Apnea และ CPAP อย่างละเอียด


ก่อนตัดสินใจใช้ CPAP ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Sleep Apnea และ CPAP อย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ประโยชน์ของ CPAP วิธีการใช้งาน ข้อควรระวัง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ของโรงพยาบาล สมาคมโรคทางเดินหายใจ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ เป็นต้น

2. ปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Sleep Apnea

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Sleep Apnea จะทำการประเมินอาการ ตรวจวินิจฉัย และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ CPAP ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และสามารถปรับตัวกับ CPAP ได้อย่างรวดเร็ว

3.เลือกหน้ากาก CPAP ที่เหมาะสม

หน้ากาก CPAP มีหลายแบบให้เลือก ควรเลือกหน้ากากที่สวมใส่สบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป และสามารถครอบปิดจมูกและปากได้อย่างมิดชิด เพื่อป้องกันการรั่วซึมของลม หน้ากากที่ดีจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตลอดทั้งคืน

4.ปรับระดับแรงดันลมให้เหมาะสม

ระดับแรงดันลมของ CPAP จะถูกปรับตั้งโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้ป่วยสามารถปรับระดับแรงดันลมได้เล็กน้อยตามความรู้สึก อาจเริ่มต้นจากแรงดันลมต่ำๆ และค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยจนรู้สึกสบาย หลีกเลี่ยงการปรับแรงดันลมสูงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด ปวดหู เป็นต้น

5. ฝึกฝนการใช้ CPAP อย่างสม่ำเสมอ

การใช้ CPAP อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยควรพยายามใช้ CPAP ทุกคืนแม้ในช่วงแรกจะรู้สึกอึดอัด ฝึกหายใจเข้าออกตามปกติ ไม่ต้องพยายามมากเกินไป การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวกับ CPAP ได้เร็วขึ้น

6. ทำความสะอาด CPAP อย่างถูกวิธี

 

CPAP ต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและเชื้อโรค ควรทำความสะอาดหน้ากาก สายลม และเครื่อง CPAP เป็นประจำตามคำแนะนำของผู้ผลิต

7. บันทึกอาการและผลข้างเคียง

ในช่วงแรกของการใช้ CPAP ผู้ป่วยควรบันทึกอาการและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น ท้องอืด ปวดหู หน้ากากรั่วซึม เป็นต้น เพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบในการปรับแต่ง CPAP ให้เหมาะสม

8.หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง

นอกจากการใช้ CPAP แล้ว ผู้ป่วย Sleep Apnea ควรดูแลตัวเองด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ลดน้ำหนัก พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

9. เข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วย Sleep Apnea

การเข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วย Sleep Apnea จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งปันความรู้ และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

10. ใจเย็นๆ และให้เวลากับตัวเอง

การปรับตัวกับ CPAP อาจใช้เวลา ผู้ป่วยไม่ควรท้อแท้หรือกังวลจนเกินไป ควรใจเย็นๆ และให้เวลากับตัวเอง ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรม การใช้ CPAP อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหายใจได้อย่างราบรื่น นอนหลับได้อย่างมีคุณภาพ ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีขึ้น

สรุป

CPAP เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) แต่การใช้ CPAP ในระยะแรกอาจสร้างความรู้สึกอึดอัดและไม่คุ้นชินได้ ดังนั้น ผู้ป่วยควรศึกษาข้อมูล ปรึกษาแพทย์ เลือกหน้ากากที่เหมาะสม ปรับระดับแรงดันลม ฝึกฝนการใช้ CPAP อย่างสม่ำเสมอ ทำความสะอาด CPAP อย่างถูกวิธี บันทึกอาการและผลข้างเคียง หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง เข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วย Sleep Apnea และใจเย็นๆ ให้เวลากับตัวเอง การใช้ CPAP อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้อย่างราบรื่น นอนหลับได้อย่างมีคุณภาพ ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีขึ้น


สินค้าแนะนำ