fbpx

AirStart10 คู่แฝด AirSense10 ในราคาประหยัด แตกต่างกันอย่างไง

AirStart10 คู่แฝด AirSense10 ในราคาประหยัด แตกต่างกันอย่างไง

**บทความนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งเคยใช้ CPAP 4-5รุ่นแล้ว** ปัจจุบัน(ขณะเขียนบทความอยู่นี้) AirSense10 Autoset เป็นรุ่นที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดในไทย แต่หลายๆครั้งผู้ใช้ติดเรื่องงบประมาณ บวกกับมีแบรนด์ให้เลือกมากขึ้นโดยแข่งขันด้านราคาที่ถูกกว่าเป็นทางเลือก เช่นจาก Yuwell เช่นรุ่น YH-450 CPAP ที่จัดฟังก์ชั่นมาเต็มในราคาที่ถูกกว่า ResMed จึงออกรุ่นคู่แฝดออกมาชื่อ AirStart10 CPAP โดยมีการตัดฟังก์ชั่นบางประการออก ทำราคามาสู้ ในฐานะผู้ใช้งานจริงและมีประสบการณ์ใช้ CPAP มาหลาย 4-5 รุ่นแล้ว ผมขอแชร์ประสบการณ์ไว้ ณ ที่นี้ เผื่อเป็นประโยชน์กับผู้กำลังตัดสินใจซื้อเครื่องไว้ใช้งานครับ ผมเขียนจะพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด

ส่วนตัวจุดแตกต่างที่สำคัญสุดคือ ท่อทำความร้อนครับ สำหรับผมจำเป็นเพราะเป็นโรคภูมิแพ้

ภายนอกเหมือนกัน ต่างเล็กน้อยไม่สังเกตุไม่รู้

หากดูจากภายนอก เริ่มที่กล่องใส่ได้เลยขนาด Package เท่ากันทุกประการ แม้กระทั้งกระเป๋าสะพายที่แถมมาให้ดูเหมือนกันจนแยกไม่ออก นน.ก็เท่ากันครับ

ส่วนที่เหมือนกันคือ ตัวเครื่องฉีดจากพลาสติกบล็อกเดียวมีขนาดและสัมผัสเดียวกันเป๊ะๆ ภาชนะใส่น้ำเป็น SKU เดียวกันคือตัวเดียวกันเลย อะไหล่ใช้ร่วมกันได้เกือบทั้งหมด นน.เท่ากัน ช่องใส่ SD Card เพื่อบันทึกผลการนอนหลับอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน (แต่ว่า AirStart10 จะไม่มี e-Sim ก็ยังสามารถดึงข้อมูลออกมาแบบ offline ได้โดยใช้ SD Card) Power Cord / Supplier ใช้ SKU เดียวกัน (เข้าใจว่าใช้แทนกันได้ด้วย) มีระบบทำความชื้น และกล่องใสน้ำแบบเดียวกันโดยสามารถใช้แทนกันได้ มีช่องใส่ Filter เดียวกันสามารถใช้ร่วมกันได้

มาในส่วนที่แตกต่างกันบ้างครับ

  • สีของเตัวเครื่อง AirSense10 จะมีสีดำทุกๆส่วน AirStart10 จะมีบางส่วนฉีดเป็นพลาสติกสีเทา ต่างกันอีกจุดตัวอักษรโลโก้รุ่นสินค้า
  • ช่องที่แรงดันบวกออก ของ AirSense10 จะรองรับท่ออากาศทำความร้อน Climateline โดยจะเห็นส่วนจ่ายไฟเข้าเครื่อง Heated Tube ส่วนของ AirStart10 จะเป็นท่อออกเปล่าๆเลย
  • ส่วนของ Interface หน้าจอบางส่วน และ เมนูมีการแตกต่างกันบ้าง แต่โดยมากเหมือนกันครับ

ไม่มี Climateline

Cliamteline เป็นชื่อทางการตลาดของ ResMed ในแบรนด์สินค้าอื่นๆอาจจะใช้ชื่อที่แตกต่างกัน ชื่อกลางๆคือ Heated Tube หรือท่อทำความร้อน ซึ่งเป็นอีกคนละระบบนอกเหนือจากระบบทำความชื้น Humidifier ท่อทำความร้อนช่วยทำให้อากาศแรงดันบวกที่เข้าสู่หน้ากากของเรามีอุณหภูมิที่อุ่นเหมาะสม ช่วยทำให้ประสบการณ์นอนสบายขึ้น

ผลกระทบจากการไม่มี Climateline (Heated Tube ในยี่ห้ออื่นๆ) ท่อทำความร้อนไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกคน โดยท่อทำความร้อนเหมาะกันผู้ใช้สภาพอากาศเย็น ใช้เครื่องปรับอากาศ และ ผู้ที่อ่อนไหวกับอุณภูมิของอากาศ ผู้เขียน Sensitive กับอุณภูมิของอากาศมาก เพราะกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ แต่ผู้ใช้หลายคนไม่เป็นครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละท่าน

จำเป็นขนาดไหน? ตอบได้เลยว่า จำเป็นสำหรับบางคน และ ไม่จำเป็นสำหรับบางคน ขึ้นกับว่าทางชอบอากาศเข้าที่อุณภูมิเสถียรหรือไม่ นอนในห้องแอร์หรือเปล่า

ไม่มี e-Sim Online ไม่ได้

เครื่อง AirSense10 มีความฟังก์ชั่นเด่นอย่างหนึ่งคือในเครื่องมี e-SIM (ที่ใช้ได้ทั่วโลก อันนี้ไม่ยืนยันว่าใช้ทุกประเทศจริงๆหรือเปล่าแต่เท่าที่ผู้เขียนไปเที่ยวเอเซียและยุโรปหลายประเทศใช้ได้ทุกที่ที่เคยไป) โดยเครื่องจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายท้องถิ่น (เราไม่ต้องเสียเงินในส่วนนี้ครับ เข้าใจว่าเป็น GSM 1G หรือ 2G) การเชื่อมต่อดังกล่าวทำให้ผลการนอนของเราไม่ว่าค่า AHI, แรงดันที่ใช้, เวลาที่ใช้, Parameter ต่างๆขึ้น Online บน Cloud ของ ResMed แพทย์หรือนักตรวจการนอนหลับดูสถานะ ผลการนอนย้อนหลังได้

นอกจากนี้ข้อดีของ e-Sim แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถตั้งค่าเครื่องจากระยะไกลได้ Remote Control

ผลกระทบจากการไม่มี e-Sim คือไม่สามารถทำอะไร Online ได้ แต่หากจะให้พูดจริงๆแล้ว ประสบการณ์ใช้ส่วนตัวไม่เคยใช้ระบบ Online ดังกล่าวเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วจะทำให้ดูสถานะเราย้อนหลังไม่ได้ เครื่องยังเก็บค่าและผลต่างๆของเราใน SD Card เราสามารถดึงข้อมูลมาดูได้เองจาก software อื่นๆได้

จำเป็นขนาดไหน? ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าท่านต้องติดต่อกับคุณหมอ ที่เค้าจะปรับค่าต่างๆให้ท่านหรือไม่ โดยมากจะปรับกันแค่ครั้งเดียว ท่านอาจจะช่วยท่านดูผล Online แต่สุดท้ายก็สามารถใช้ข้อมูลใน SD Card ได้เช่นกัน

ไม่มี Air Sensitive

AirSense10 จะมีฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้คือ Auto Start / Stop คือเปิดเครื่องเริ่มแรงดันอัตโนมัติ โดยจะมีเซนเซอร์จับการหายใจ และปิดเมื่อถอดหน้ากาก ส่วนใน AirStart10 จะตัดฟังก์ชั่นนี้ออกเปิดและปิดเอง

Auto Ramp Time เป็นอีกฟังก์ชั่นที่ถูกตัดออก โดยจะยังสามารถตั้งเวลาได้ดังเดิม เช่น 10นาที 20นาที 30นาทีเป็นต้น โดยหน้าจอและเมนูการสั่งงานเหมือนกันเกือบทั้งหมดแต่จะตัดบางส่วนออก

ส่วนตัวมองว่าฟังก์ชั่นดังกล่าวไม่ใช่ส่วนสำคัญของการใช้เครื่อง CPAP เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้ใช้งานง่ายเพิ่มขึ้นเท่านั้น

แล้วควรซื้อตัวไหน?

เป็นความเห็นส่วนตัว และข้อสังเกตุเผื่อท่านตัดสินใจเลือกระหว่าง AirStart และ AirSense นะครับ ส่วนตัวคิดว่าตัวที่แตกต่างและมีความสำคัญที่สุดคือ “เรื่องท่ออากาศทำความร้อนครับ” ผมมองว่า e-SIM และ Air Sensitive เป็นเรื่องรอง

  • หากเรื่องงบประมาณไม่ใช่ปัญหา เลือก AirSense10 Autoset ครับตัวนี้ดีและวางใจได้
  • หากท่านไม่ได้มีปัญหาภูมิแพ้อากาศ เลือกตัวถูกดีกว่าครับ AirStart10 CPAP ใช้ได้ดีเหมือนกัน

ทั้งนี้หากท่านยังคาใจ สามารถติดต่อเรา elifegear.com เพื่อทดลองการใช้เครื่องครับ เราให้บริการพร้อมแนะนำหน้ากากที่เหมาะสมสำหรับท่าน

อ่านเพิ่มเติม

หากท่านต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพการนอนหลับ, ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ OSA, ประสบการณ์การใช้งาน Mask และ CPAP ท่านอาจจะส่วนใจบทความด้านล่างนี้


เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) หรือเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก ช่วยรักษาอาการหยุดหายใจขณะหลับ Sleep Apnea, นอนกรน ลดอาการอ่อนเพลียเหมือนนอนไม่พอระหว่างวัน อาการหยุดหาย นอนกรนส่งผลร้ายในระยะยาวกับผู้ป่วย ทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำ ความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงสูงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคทางสมอง ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองแตก เครื่อง CPAP ช่วยลดการปิดกั้นในระบบทางเดินหายใจขณะหลับ ลดอาการกรนและภาวะการหยุดหายใจระหว่างหลับ OSA