นั่งLite7เที่ยวรอบกรุง

สวัสดีครับ สำหรับใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวดีๆ ถ่ายรูปสวยๆ วันนี้ elife มีไอเดียมานำเสนอกันครับ เป็นที่เที่ยวที่คนนั่งรถเข็นวีลแชร์เองก็สามารถไปเที่ยวได้ มีทางที่ค่อนข้างสะดวกกับคนใช้วีลแชร์ โลเคชั่นดี แสงสวย ถ่ายรูปปัง แถมยังอยู่ในกรุงเทพฯอีกด้วย หลายท่านอาจจะเคยไปมาแล้วบ้าง หลายท่านอาจจะยังไม่เคยไปอาจจะเพราะคิดไม่ถึงว่าเป็นสถานที่ที่น่าเที่ยวเช่นกัน นั่นคือ “วัดราชนัดดารามวรวิหาร (โลหะปราสาท)” ใกล้ๆกันสามารถเดินไปได้จะพบกับ “ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์” ซึ่งมีประดิษฐ์สถานของ “พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว” อยู่ด้วย ข้ามทางม้าลายนิดเดียวก็จะเป็น “สวนสาธารณะป้อมมหากาฬ” นั่งรถต่อ 5 นาที ถ่ายรูปต่อที่ “เสาชิงช้า” โอ้โห แค่เกริ่นคร่าวๆทริปนี้ก็ดูน่าตื่นเต้นสุดๆเลย อย่ารอช้า ไปชมบรรยากาศ รูป และคลิปการนั่งรถเข็นไฟฟ้าLite7เที่ยวรอบกรุงในครั้งนี้กันเลยครับ

มาเริ่มกันตั้งแต่รถที่เรานำไปเที่ยวและใส่ รถเข็นไฟฟ้าLite7 ครั้งนี้เราใช้เป็น Mitsubishi Mirage เป็นรถยนต์ 5 ประตูครับ เราสามารถพับเจ้า Lite7 เข้าไปในรถได้อย่างง่ายดายมากๆ แม้จะเป็นรถยนต์คันเล็ก เพราะรถเข็นไฟฟ้า Lite7 เป็นรถที่พับได้เล็กมากๆเหมาะกับการพกพาไปเที่ยวสุดๆ

และแล้วเราก็มาถึงที่แรกครับ นั่นคือ “วัดราชนัดดารามวรวิหาร” ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “โลหะปราสาท” ที่โด่งดังเนื่องจากเป็นโลหะปราสาทองค์แรกและองค์เดียวในประเทศไทยและถือเป็นองค์ที่ 3 ของโลก หลายๆครั้งคนก็จะพูดปากกันว่ามาเที่ยวโลหะปราสาท หรือบางคนก็บอกว่ามาเที่ยววัดโลหะปราสาท จนเกิดความเข้าใจผิดว่าชื่อวัดชื่อว่าวัดโลหะปราสาท แต่ความจริงแล้วชื่อวัดคือวัดราชนัดดารามวรวิหารนั่นเอง เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับตัววัดกับโลหะปราสาทกันสักนิดกันดีกว่า

โลหะปราสาท สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แทนการสร้างเจดีย์ ซึ่งอย่างที่บอกว่า โลหะปราสาท ที่ไทยในเป็นองค์ที่ 3 ในโลก และองค์เดียวในไทย ซึ่งหลังแรกสร้างโดยนางวิสาขา สร้างขึ้นในสมัยพุทธกาลอยู่ที่เมืองสาวัตถี หลังที่ 2 สร้างโดยพระเจ้าทุฏฐคามณี กษัตริย์แห่งกรุงอนุราธปุระลังกา ในราวปีพุทธศักราช382 ถือว่าเป็นปราสาทที่สวยมากมาก มีลักษณะศิลปสถาปัตยกรรมไทยเป็นปราสาท 3 ชั้น มียอด 37 ยอด หมายถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ กลางปราสาทเป็นช่องกลวงจากฐานตลอดยอด มีซุงต้นใหญ่สูงถึงยอดปราสาทเป็นแกนกลาง เจาะลำต้นตอกเป็นบันไดเวียนขึ้น 67 ขั้น

รถเข็นไฟฟ้าLite7 — มุมนี้แอบเห็นวัดภูเขาทองด้วย

ซึ่งการเที่ยวด้วยวีลแชร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับวัดนี้ เพราะตามจุดต่างๆก็จะมีทางลาดไว้ให้วีลแชร์สามารถวิ่งผ่านได้อยู่ครับ แต่ก็ต้องบอกว่าอาจจะไม่ครบทุกชุดครับเพราะตรงบริเวณที่เป็นตัวอุโบสถจะไม่สามารถเข้าได้ครับ แต่ก็ถือว่าโอเคครับ เพราะก็ยังมีจุดอื่นๆให้ถ่ายรูปอีกเยอะมากๆรอบๆวัด มีนักท่องเที่ยวแต่งชุดไทยมาถ่ายรูปเยอะเลย บรรยากาศดีถือว่าสงบ ร่มรื่นดีครับ

ล้อยางตัน 4 ล้อ เจาะรูพิเศษดูซับแรงกระแทก
Brushless Motor 250Watt*2

หลังจากนั่งรถเข้นวีลแชร์เที่ยวรอบวัดแล้ว ก็ออกมาเดินเล่นนอกวัดต่อเลยครับ ได้ยินว่าใกล้มี “ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์” ก็ต้องลองไปเที่ยว ถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศสักหน่อยแล้ว ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ตั้งชื่อตามพระนามกรมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พื้นที่โดยรอบเป็นลานกว้าง มีพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่ด้วยครับ

ต่อไปเรามาข้ามถนนไปเดินเล่นต่อที่ “สวนสาธารณะป้อมมหากาฬ” กันครับ ป้อมมหากาฬสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ในปี พ.ศ. 2326 เป็นป้อม 1 ใน 14 ป้อมที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันรักษาพระนคร มีลักษณะรูปแปดเหลี่ยม มีกำแพงล้อมรอบ 2 ชั้น เป็นป้อมประจำพระนครด้านตะวันออก ปัจจุบันป้อมมหากาฬเป็น 1 ใน 2 ป้อมที่ยังคงเหลืออยู่ในกรุงเทพมหานคร อีกป้อมหนึ่งคือป้อมพระสุเมรุ ทางกรุงเทพมหานคร และกรมศิลปากรได้บูรณะซ่อมแซมป้อมมหากาฬเมื่อคราวพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ในปี พ.ศ. 2525 และได้มีการบูรณะเรื่อยมาจนมีสภาพที่เห็นในปัจจุบัน

ซึ่งเดิมบริเวณนี้เป็นชุมชนมาก่อน แต่เนื่องจากกรุงเทพต้องการปรับปรุงทัศนียภาพ จึงได้มีการปรับปรุงพื้นที่มาเรื่อยๆและพึ่งจะกลายเป็นสวนสาธารณะป้อมมหากาฬแบบเต็มรูปแบบเมื่อ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2561 นี่เอง หลังมีการปรับปรุงทัศนียภาพ ที่ตรงนี้ก็กลายเป็นอีกแหล่งสถานที่พักผ่อนย่อนใจอีกที่หนึ่ง สวนสวยงาม บรรยากาศร่มรื่นมากๆ มีการดูแลสวนอย่างดีเลย ถ่ายรุปสวยเว่อร์ๆ

การเข้ามาด้านในสวนป้อมมหากาฬนั้น จากที่ไปเราเข้าทางหน้าป้อม ซึ่งจะมีเป็นทางเข้าแบบบันได ซึ่งอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่สำหรับคนนั่งรถเข็น หากไม่สามารถลุกจากรถเข็นได้เลย อาจจะต้องช่วยกันยก 2 คน ผ่านบันไดไปก่อนครับ จึงจะลงไปถึงสวนสาธารณะได้ครับ ซึ่งในสวนก็จะมีทางให้เดินเล่นสะดวกสบายพอสมควรครับ

ต่อไปเราจะเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ “เสาชิงช้า” กันครับ ซึ่งถือได้เป็นอีก 1 แลนด์มาร์คของกรุงเทพเลยก็ว่าได้ เสาชิงช้า เป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่คู่เกาะรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่สร้างเมือง แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไป ผู้คนก็ยังแวะเวียนมาที่เสาชิงช้าอยู่ตลอด ทั้งการติดต่อราชการกับศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร หรือไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่ถนนดินสอมาถึงวัดสุทัศน์

เสาชิงช้า ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่ในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้าเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อประกอบพระราชพิธีตรียัมปวาย หรือพิธีโล้ชิงช้า ตามคติความเชื่อของพราหมณ์ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพระนคร และเป็นการแสดงความกตัญญูต่อเทพ 3 องค์ ได้แก่ พระอิศวร พระพิฆเณศวร และพระนารายณ์

ประวัติความเป็นมาของเสาชิงช้า เป็นสิ่งก่อสร้างสมัยยุคต้นรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2327 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตามคติความเชื่อแบบพราหมณ์ เสาชิงช้าสร้างขึ้นบนพื้นที่สะดือเมือง เป็นศูนย์กลางของพระนคร โดยวัดจากกำแพงเมืองด้านแม่น้ำเจ้าพระยาตะวันตกถึงป้อมมหากาฬ

ใครที่จะไป แนะนำไปช่วงบ่ายแก่ๆติดเย็นนิดนึงนะครับ เพราะจะได้วิวแบบท้องฟ้าสีส้ม พระอาทิตย์ตกสวยๆครับ แต่รูปที่เราไปมาวันนี้อาจจะไม่ได้ตามภาพที่คิดนิดนึง เนื่องจากเมฆครึ้มพอสมควร เที่ยวไปก็แอบภาวนาอย่าให้ฝนตก ก่อนไปก็อย่าลืมดูพยากรณ์อากาศด้วยนะครับ 555 แต่โดยรวมถือว่าโอเคมากๆครับ เป็นทริปที่ประทับใจ สนุก ได้ดูงานสถาปัตกรรมไทยสวยๆ ได้รูประวัติความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ ได้รู้ถึงความสำคัญในสมัยก่อน ว่าเคยเป็นอย่างไร หลายๆสิ่งก็ยังมีคงเหลือไว้ถึงปัจจุบัน หลายอย่างก็ต้องถูกพัฒนาปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย บอกเล่าเรื่องราวด้วยตัวของมันเอง รู้สึกเหมือนได้ย้อนรอยประวัติศาสตร์ด้วยรถเข็นไฟฟ้าย้อนเวลาเลยครับ ใครสนใจตามรอยก็อย่าลืมมาเที่ยวกันนะครับ แล้วอย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ไปก่อนนะครับ บ๊ายบ่ายยย